1921-1926) ทหารโมร็อกโกทำสงครามต่อต้านสเปนและฝรั่งเศสอยู่ได้ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งทานไม่ไหวและประสบความพ่ายแพ้ (ภาพจาก britannica. com) ด้านฝรั่งเศสได้พื้นที่กว้างใหญ่กลางประเทศ เรียกว่า “โมร็อกโกในอารักขาของฝรั่งเศส” มี “ราบัต” เป็นเมืองหลวง ข้อตกลงในสนธิสัญญายังคงระบุให้องค์สุลต่านเป็นประมุขของประเทศ แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วแทบจะไม่มีอำนาจใดๆ เจ้าอาณานิคมมีสิทธิ์ขาดในการบริหารและปกครอง ชาวฝรั่งเศสเข้ามาทำมาหากินและตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลฝรั่งเศสสัญญาจะไม่ให้การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองของโมร็อกโกรบกวนการตั้งถิ่นฐานของพลเมืองฝรั่งเศสได้ การก่อกบฏและสงครามต่อต้านเกิดขึ้นบ้าง แต่ฝรั่งเศสเอาอยู่ทุกครั้ง รวมถึงสงครามเพื่อเอกราชของ “สาธารณรัฐริฟ” (ค.
วันที่ 6 ธ. 65 โดยคู่นี้เมื่อ 4 ปีแล้วก็เพิ่งเจอกันมา และก็กินกันไม่ลง เสมอกันมา ดังนั้นการันตีว่า แม้ชื่อชั้นกระทิงดุจะเหนือกว่า แต่โมร็อกโกสู้ได้และสู้ยิบตาแน่นอน ทีมชาติโมร็อกโก ทะลุเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 ในฐานะแชมป์กลุ่ม F จากผลงานชนะ 2 เสมอ 1 และยังไม่แพ้ใครเลย โดยพวกเขาเอาชนะเบลเยียม และ แคนาดา ได้ รวมถึงเสมอกับทีมแกร่งอย่างโครเอเชีย ตัวความหวังในเกมรุกคงต้องฝากฝังไว้กับ ยูสเซฟ เอ็น-เนเชรี่ สำหรับ ทีมชาติสเปน ของกุนซือหลุยส์ เอ็นริเก้ เสียรางวัดไปพอสมควรจะจากแพ้ญี่ปุ่นในนัดสุดท้ายของรอบแรก กลุ่ม E ทำให้ กระทิงดุ ต้องกลายเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม สำหรับเกมนี้ สเปนน่าจะขนชุดใหญ่ลงเล่นอีกครั้ง ส่วนตัว False 9 อย่าง มาร์โก อเซนซิโอ อาจจะต้องนั่งสำรองไปก่อน และเปิดทางให้ อัลบาโร่ โมราต้า ซึ่งยิงประตูในนามทีมชาติไปแล้ว 30 ประตู (อันดับ 5 ตลอดกาลของทีมชาติสเปน) ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง เพราะในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ โมราต้า ซัลโวไปแล้ว 3 ประตู ฟอร์มกำลังดีเลย สำหรับ ผู้ชนะระหว่าง สเปน - โมร็อกโก จะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปรอเจอผู้ชนะระหว่าง โปรตุเกส หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ต่อไป ข่าวที่เกี่ยวข้อง ดานี่ อัลเวส ขึ้นแท่นทีมชาติบราซิลอายุมากสุด ในประวัติศาสตร์ เล่นฟุตบอลโลก เช็กเส้นทางรอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 สู่การเป็นแชมป์ ทีมใดเข้ารอบบ้าง เพราะเหตุใดทีมชาติญี่ปุ่น ใช้ชุดแข่งสีน้ำเงิน แต่ธงชาติ มีแค่สีขาว-แดง 11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม สเปน - โมร็อกโก สเปน: อูไน ซิมอน (ผู้รักษาประตู) - เซซาร์ อัซปิลิกวยตา, โรดรี, เอเมอริก ลาปอร์กต์, จอร์ดี้ อัลบา - กาบี, เซร์คิโอ บุสเกตส์, เปดรี -, เฟร์ราน ตอร์เรส, ดานี โอลโม่, อัลบาโร่ โมราต้า โมร็อกโก: ยาสซีน บูนู (ผู้รักษาประตู), อัชราฟ ฮาคิมิ, นาเยฟ อาเกิร์ด, โรแม็ง ชาอิสส์ (C), บูสแซร์ มาซราอุย, อัซเซดีน ฮูนาไอ, ซอฟยาน อัมราบัต, อับเดลฮามิด ซาบิรี, ฮาคิม ซิเยค, ยูสเซฟ เอ็น-เนเชรี่, โซฟิยาน บูฟาล สถิติในการเจอกัน สเปน - โมร็อกโก 25/08/2018 สเปน 2-2 โมร็อกโก (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2018 รอบแรก - โดยในวันนั้น คนพังประตูได้ของสเปน ได้แก่ อิสโก้ และ ยาโก้ อาสปาส ซึ่งทั้ง 2 คนไม่ได้อยู่ในทีมชาติสเปนชุดลุยฟุตบอลโลก 2022 แล้ว ขณะที่ ยูสเซฟ เอ็น-เนเชรี่ ซึ่งอยู่ในทีมชาติโมร็อกโกชุดนี้ ก็เคยยิงประตูใส่สเปน เมื่อ 4 ปีที่แล้วมาด้วย ฟอร์ม 5 นัดหลังสุด สเปน - โมร็อกโก สเปน 28/09/22 ชนะ โปรตุเกส 1-0 (เยือน) ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 17/11/22 ชนะ จอร์แดน 3-1 (สนามกลาง) กระชับมิตร 23/11/22 ชนะ คอสตาริก้า 7-0 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 27/11/22 เสมอ เยอรมนี 1-1 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 1/12/22 แพ้ ญี่ปุ่น 1-2 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 โมร็อกโก 27/09/22 เสมอ ปารากวัย 0-0 (เยือน) กระชับมิตร 17/11/22 ชนะ จอร์เจีย 3-0 (สนามกลาง) กระชับมิตร 23/11/22 เสมอ โครเอเชีย 0-0 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 27/11/22 ชนะ เบลเยียม 2-0 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 1/12/22 ชนะ แคนาดา 2-1 (สนามกลาง) ฟุตบอลโลก 2022 • โปรแกรมฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ถ่ายทอดสด ช่องทางการรับชม วันเสาร์ 3 ธันวาคม 2565 เวลา 22.
1921-1926) ซึ่งกองทัพฝรั่งเศสและสเปนร่วมกันปราบได้ในที่สุด แม้ว่าสเปนจะสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ความสนใจหลักของฝรั่งเศสคือแหล่งแร่ธรรมชาติในโมร็อกโก โดยเฉพาะแร่ฟอสเฟต อีกทั้งยังมุ่งเน้นในด้านเกษตรกรรมเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดฝรั่งเศส การมอบสิทธิ์ในที่ดินดึงดูดให้ชาวอาณานิคมราวครึ่งล้านย้ายเข้ามา โดยส่วนใหญ่อาศัยในเมืองคาซาบลังกา และกลายเป็นประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมือง ด้านสเปนก็โชคดีค้นพบแหล่งแร่ธรรมชาติปริมาณมาก โดยเฉพาะแร่เหล็กใกล้เมืองเมลียา ปี 1936 สงครามกลางเมืองของสเปน (ค. 1936-1939) มีจุดเริ่มจากการก่อกบฏของ “กองทัพสเปนแห่งแอฟริกา” มีองค์ประกอบของทหารท้องถิ่นชาวโมร็อกโกที่เรียกว่า “เรกูลาเรส” ภายใต้การนำของ “ฟรานซิสโก ฟรังโก” เป็นส่วนสำคัญ และต่อมากลายเป็นแกนหลักของ “กองทัพคณะรักชาติ” ทำการปฏิวัติสู้รบกับรัฐบาล “สาธารณรัฐสเปนที่ 2” จนยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชของโมร็อกโกก่อตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงปลายสงครามพรรคเอกราชได้ออกประกาศเรียกร้องเอกราช การรวมชาติ และรัฐธรรมนูญต่อเจ้าอาณานิคม สุลต่าน “โมฮัมเหม็ดที่ 5” ก็ทรงรับรองคำประกาศ ทั้งยังได้ยื่นให้กับข้าหลวงใหญ่ของฝรั่งเศส แต่คำตอบจากฝรั่งเศสคือจะไม่มีการพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะของรัฐในอารักขา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์สุลต่านทรงเดินสายกล่าวสุนทรพจน์ในหลายเมือง ทั้งในโมร็อกโกฝรั่งเศส โมร็อกโกสเปน และแทนเจียร์ ซึ่งเป็นเขตนานาชาติ ได้รับการสนับสนุนจากชาวโมร็อกโกทุกหัวระแหง แต่ฝ่ายฝรั่งเศสทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและชาวอาณานิคมต่างไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้อง เดือนธันวาคม ปี 1952 “ฟาร์ฮัต ฮาเช็ด” ผู้นำสหภาพแรงงานและนักต่อสู้เพื่อเอกราชของตูนิเซียถูกลอบสังหาร (ในตูนิเซีย) ชาวโมร็อกโกที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคเอกราชของโมร็อกโกทราบข่าวก็ได้ก่อจลาจลขึ้นในเมืองคาซาบลังกา หลังเหตุการณ์สงบลงฝรั่งเศสมีคำสั่งให้พรรคการเมืองทั้งสองเป็นพรรคนอกกฎหมาย จากนั้นฝรั่งเศสยังได้เนรเทศองค์สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ไปยังเกาะมาดากัสการ์ในวันอีด ปี 1953 และตั้งพระนัดดาขึ้นมาแทน ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากชาวโมร็อกโก คริสต์มาสปีเดียวกันนั้นฝ่ายโมร็อกโกรักชาติวางระเบิดตลาดกลางคาซาบลังกา ในเขตเมืองใหม่ของชาวยุโรป อีก 2 ปีต่อมา เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝรั่งเศสเผชิญสถานการณ์การสู้รบในสงครามเพื่อเอกราชของแอลจีเรีย รัฐบาลฝรั่งเศสก็อนุญาตให้สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 เดินทางกลับโมร็อกโก การเริ่มต้นพูดคุยเจรจาเพื่อเอกราชของโมร็อกโกเริ่มต้นในปีต่อมา วันที่ 7 เมษายน 1956 ฝรั่งเศสประกาศยกเลิกความเป็นรัฐในอารักขาของโมร็อกโก ด้านสเปนเจรจากับโมร็อกโกต่างหาก ก่อนจะให้การรับรองเอกราชของโมร็อกโกในเดือนเดียวกัน (เหลือเซวตาและเมลียาไว้) จากนั้นแทนเจียร์ถูกผนวกกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโกในเดือนตุลาคม 1956 องค์สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 กลับขึ้นครองราชย์ในปีต่อมา ********************** ยุโรป ดินแดนห้ามบุกรุก ซาฮาราตะวันตก ดินแดนติดมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ทางใต้ของโมร็อกโก ทางเหนือของมอริเตเนีย และทางตะวันตกของแอลจีเรีย หลังสเปนถอยออกจากโมร็อกโก ซาฮาราตะวันตกก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนต่อมาจนถึงปี 1975 แล้วจึงถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรโมร็อกโก ปัจจุบันโมร็อกโกยังมีข้อพิพาทกับชาวซาห์ราวี ชนพื้นเมืองที่ต้องการเอกราช มีแนวร่วมโปลีซารีโอเคลื่อนไหวเรียกร้องและจับอาวุธขึ้นต่อสู้เรื่อยมา ว่ากันว่าได้รับการหนุนหลังจากแอลจีเรีย “บราฮิม กาลี” ผู้นำของแนวร่วมโปลีซารีโอ ตั้งตนเป็นประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี ถูกกล่าวหาจากกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและชาวซาฮาราตะวันตกจำนวนหนึ่งว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆาตกรรม ก่อการร้าย ทรมานและอุ้มหาย ไม่นานมานี้ กาลีใช้หนังสือเดินทางปลอมของแอลจีเรียเดินทางเข้าสเปน และมีข่าวว่ากำลังได้เข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 อยู่ในโรงพยาบาลที่เมือง “โลโกรโย” ทางเหนือของสเปน เป็นสาเหตุให้รัฐบาลโมร็อกโกแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อผู้อพยพต้ปองการข้ามแดนไปยังเซวตา “มาเรีย อารันซาซู กอนซาเลส ลายา” รัฐมนตรีต่างประเทศของสเปน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง สหภาพยุโรปก็ให้การสนับสนุนมาตรการการจัดการกับผู้อพยพของสเปนเป็นอย่างดี “ชาร์ลส์ มีแชล” ประธานคณะมนตรียุโรปทวีตข้อความว่า “พรมแดนสเปนก็คือพรมแดนของสหภาพยุโรป” “มาร์การิติส สคินาส” รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า “ยุโรปจะต้องไม่ถูกคุกคามจากใครในเรื่องการอพยพ” “ฆวน เฆซุส วิวาส” สมาชิกพรรคฝ่ายค้านของสเปนก็ประสานเสียง บอกกับสถานีวิทยุท้องถิ่นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการล่วงล้ำรุกรานอย่างชัดเจน.
วิเคราะห์บอล สเปน - โมร็อกโก 6 ธ. ค. 65 ฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้ายพรีวิวฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง โมร็อกโก อันดับ 1 กลุ่ม F พบกับ สเปน อันดับ 2 จากกลุ่ม E คู่นี้ลงสนามเวลา 22. 00 น. วันอังคารที่ 6 ธ. 65 ถ่ายทอดสด True4uเช็กความพร้อม รอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ที่จะเตะกันแบบน็อกเอาท์ ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้แพ้อีกแล้ว โดยคู่สำคัญ สเปน แชมป์โลก 1 สมัย พบกับโมร็อกโก ลงสนาม 22.
com) *********************** โมร็อกโกของสเปนและฝรั่งเศส ในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันเรืองอำนาจสูงสุด พวกเขาขยายการยึดครองมาถึงแอลจีเรี ยซึ่งประชิดติดกับชายแดนโมร็อกโก แต่โมร็อกโกอยู่รอดปลอดภัยมาได้โดยการปกครองของราชวงศ์อาหรับ-เบอร์เบอร์ของพวกเขาเอง หมดยุคค้าทาสแอฟริกันมาถึงยุคล่าอาณานิคมของชาติยุโรป โมร็อกโกได้รับความสนใจจากทั้งโปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ส่วนมากจะยึดเอาแค่เมืองท่าสำคัญๆ ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปภายใน เวลานั้นโมร็อกโกยังถือเป็นชาติที่ร่ำรวย หลังสงครามนโปเลียน (ค. ศ.
ผลบอลโลก 2022 วันที่ 12: ญี่ปุ่นลิ่วดวลโครเอเชีย, โมร็อกโกได้เจอสเปนWorld Cup 05:37 GMT+7 2/12/22 สรุปผลฟุตบอลโลก 2022 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นการลงสนามเกมสุดท้ายของกลุ่มอีและกลุ่มเอฟ โครเอเชีย 0-0 เบลเยียมเกมสุดท้ายของกลุ่มเอฟ แข่งขันในช่วง 22. 00 น. ระหว่าง โครเอเชีย ลงเล่นที่สนามอาห์หมัด บิน อาลี สเตเดียม ในเมืองอัล รายยาน ของเจ้าภาพกาตาร์ พบกับ เบลเยียม ครึ่งแรกเป็นฝั่งของโครเอเชียเกือบจะได้จุดโทษ ในนาทีที่ 17 จากจังหวะที่ อังเดร ครามาริช ไปโดน ยานนิค การ์ราสโก้ สกัดล้มลงไป แต่เมื่อผู้ตัดสินเช็ค VAR ก็ย้อนมาให้เป็นลูกล้ำหน้าในจังหวะก่อนหน้านี้ของ เดยัน ลอฟเรน ไปแทน ทำให้จบ 45 นาทีแรก สกอร์ยังเสมอกันอยู่ 0-0 ครึ่งหลังแม้ว่าเบลเยียมจะส่งกองหน้าตัวเก่งอย่าง โรเมลู ลูกากู ลงสนามมาตั้งแต่เริ่ม ทว่ากลับกลายเป็น ลูกากู ซึ่งยิงทิ้งทิงขว้างไปเองหลายครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจบเกมด้วยผลเสมอ 0-0 ทำให้โครเอเชียเก็บไปได้ 5 คะแนน เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มเอฟ ส่วนเบลเยียมที่มี 4 คะแนน จบอันดับ 3 ตกรอบไปตามระเบียบ แคนาดา 1-2 โมร็อกโก(0-1 น.
5 ตารางกิโลเมตร แผนที่มีลักษณะเป็นแหลมชี้ออกมาจากแผ่นดินของโมร็อกโก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นแอนดาลูเซีย ราชอาณาจักรสเปน มีช่องแคบยิบรอลตาร์คั่นกลางระหว่างแอฟริกาและทวีปยุโรป การเข้าถึงเซวตาจึงคล้ายมาถึงยุโรป และอาจเป็นใบเบิกทางเข้าสู่แผ่นดินยุโรปเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีชาวโมร็อกโกที่ต้องการข้ามไปยังเซวตาจำนวนมากรอคอยจังหวะงามๆ อยู่บริเวณด่านชายแดนเมือง “ฟนิเด็ค” ขวามือของแผนที่คือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เจ้าหน้าที่ด่านได้ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายกลุ่มผู้ต้องการอพยพให้ออกห่างจากรั้วพรมแดน ทำให้พวกเขาโมโห จุดไฟเผาจักรยานยนต์และถังขยะ ช่วงกลางสัปดาห์ ผู้อพยพเปลี่ยนแผนที่จะข้ามฝั่งทางบกเป็นลงทะเล นั่งเรือยางขนาดเล็ก หรือใช้อุปกรณ์ชูชีพอย่างง่ายว่ายน้ำอ้อมไปไม่กี่ร้อยเมตรสู่ชายหาด “ทาราจาล” ของเซวตา โดยเจ้าหน้าที่โมร็อกโกได้แต่ยืนมอง สเปนต้องส่งตำรวจหน่วยพิเศษจากฝั่งยุโรปมาเพิ่มอีก 200 นาย สมทบกับที่มีอยู่แล้วประมาณ 1, 200 นาย เพื่อรับมือคลื่นผู้อพยพ ในเวลา 2 วัน ชาวโมร็อกโกประมาณ 8, 000 คนข้ามไปถึงเซวตา ถือเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนมากเป็นผู้ชาย ที่ไปกันเป็นครอบครัวก็มี รวมถึงเด็กที่ไม่มีผู้ปกครอง ราว 2 ใน 3 ของทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวแล้วพาไปส่งที่ด่านชายแดนกลับเข้าโมร็อกโก ที่เหลือเป็นเด็กจำนวนประมาณ 1, 500 คน ไม่มีพ่อแม่มาด้วย บางคนอายุเพียง 7 ขวบ ถูกคุมตัวอยู่ในโกดังแห่งหนึ่ง ได้รับการดูแลโดยกาชาดท้องถิ่น รอการส่งกลับเช่นกัน มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน ผู้แสวงหาชีวิตที่ดีกว่าบางคนมาจากหลายเมืองทั่วโมร็อกโก แม้แต่เมืองท่าสำคัญอย่างแทนเจียร์ ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่หมดหวัง ผมมีเพื่อนในเซวตา หากเข้าไปได้ใหม่ก็จะไปอยู่กับเพื่อน แล้วค่อยหาทางข้ามไปยังฝั่งยุโรป” อีกคนให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นว่า “ผมแค่ต้องการทำงานและช่ปวยครอบครัว เพื่อนของผมทั้งหมด เราต้องการทำงาน” เด็กชายร่ำให้เพราะรู้ชะตากรรมว่าต้องถูกจับและส่งตัวกลับโมร็อกโก (ภาพจาก sproutwired.
โมรอคโค (Morocco) เสน่ห์แห่งโลกตะวันออกกลาง บนดินแดนแอฟริกาโมรอคโค (Morocco) ประเทศทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ติดต่อทั้งชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชายแดนทางตอนใต้ติดกับทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮารา ทางตะวันออกติดกับแอลจีเรีย และอาณานิคมเล็ก ๆ ของชาวสเปนนิชแอฟริกัน ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยระยะทางที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประเทศทางยุโรปมากนัก โมรอคโคมีทุกสิ่งที่จะทำให้เหล่านักท่องเที่ยวหลงรักในสีสัน กลิ่นอาย และเสียงเพรียกแห่งโลกตะวันออกกลางบนดินแดนแอฟริกาแห่งนี้ ตลาดกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยผู้คน และร้านค้าขายเครื่องเทศ มัสยิดที่แสนงดงาม เมืองเรียบชายหาดสีขาว และใจกลางเมืองที่ยังคงความดั้งเดิมในแบบสมัยยุคกลาง และด้วยทัศนียภาพที่หลากหลายของประเทศ ตั้งแต่ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนถึงทัศนียภาพของทะเลทรายซาฮารา ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนโมรอคโค จะไม่มีทางรู้สึกเบื่อประเทศที่งดงามแห่งนี้อย่างแน่นอน ( ดูโปรโมชั่นทัวร์โมร็อคโค)การเดินทางท่องเที่ยวโมรอคโค หากเริ่มจากเที่ยวเมืองคาซาบลังกา (Casablanca) จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของมัสยิด Hassan II Mosque มัสยิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากมัสยิดแห่งเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทั่วไปแล้วนักท่องเที่ยวมักจะใช้เวลาในการท่องเที่ยวเมืองแห่งนี้ไม่นาน แต่เพียงการได้ชมสถาปัตยกรรมการตกแต่งบ้านเมืองของที่นี่ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแล้วเมื่อออกจากเมืองคาซาบลังกา แล้วสามารถมุ่งหน้าไปเที่ยวที่เมืองมาราเกช ซึ่งเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า "นครสีชมพู" เนื่องจากเมืองนี้มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ด้วยสีของตึกรามบ้านช่อง ตั้งแต่อดีตสร้างความประทับใจตราตรึงใจ ให้แก่ผู้พบเห็นครั้งแรกที่ก้าวข้ามมาในเมือง สถานที่น่าสนใจเมืองนี้ คือ ตลาดกลางแจ้งที่คึกคักไปด้วยผู้คน ประตู และกำแพงเมืองเก่าแก่ หลุมฝังศพ Saadian ซากปรักหักพังของปราสาท El Badi และมัสยิด Koutoubia และหอสูงประจำสุเหร่าที่มีอายุเก่าแก่กว่า 12 ศตวรรษ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่ควรลืมเดินทางไปแวะย่าน Jemaa el-Fnaa จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา เป็นแหล่งรวบรวมร้านขายอาหาร และพื้นที่แสดงความสามาระอันหลากหลายของชาวมาราเกชAït Benhaddou เมืองป้อมปราการเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางคาราวานระหว่างทะเลทรายซาฮารา และเมืองมาราเกช ปัจจุบันเมืองแห่งนี้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นบางส่วน และพ่อค้าที่ขายสินค้าหลากหลายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ลักษณะของตัวบ้านเรือนทำจากดินเหนียวสีแดงทั้งหลัง นับว่าเป็นต้นแบบที่ล้ำค่าของสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านด้วยดินเหนียวสไตล์โมรอคโคอีกเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เมืองเฟส (Fes) อดีตเมืองหลวงที่ยังคงความงดงามจากอดีตจวบจนปัจจุบัน เสน่ห์ของเมือง คือ ถนนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยยุคกลาง ที่มีเส้นทางคดเคี้ยวคล้ายกับเขาวงกต ประตูเมือง และมหาวิทยาลัยโบราณ University of Al-Karaouine และ Bou Inania Madrasa นอกจากนี้ไม่ควรพลาดแวะชมกรรมวิธีการฟอกเครื่องหนังแบบดั้งเดิมที่โรงงาน Chouara Tannery โรงงามย้อมฟอกหนังที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในเมือง ตั้งอยู่ที่ Blida street Fes Medina และเนื่องจากโรงงานตั้งอยู่ท่ามกลางถนนที่ค่อนข้างแคบ การเดินทางไปที่แห่งนี้ จึงสามารถเดินทางไปได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้นสมาชิกบัตรเครดิต KTC เที่ยวแอฟริกา เที่ยวต่างประเทศ จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จองรถเช่า ประกันการเดินทาง หรือ ปรึกษาข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยว โปรโมชั่นสายการบิน โปรโมชั่นที่พัก ฯลฯ แสนสะดวก ไม่มีค่าธรรมเนียมการรูดบัตร ได้ที่ KTC World Travel Service โทร.
สเปน vs คอสตาริก้า - สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง
World Cup ฉบับทะเลทราย : มหาอำนาจแถวไหน??? - แนวหน้า
โมร็อกโก พบ สเปน: ลิงค์ถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีม
ชีวิตใหม่ไม่สมหวังบนฝั่งสเปนผู้อพยพชาวโมร็อกโกโดนควบคุมตัวเมื่อขึ้นฝั่งเมืองเซวตา ดินแดนในแอฟริกาเหนือของสเปน (ภาพจาก infomigrants. net) ภาพเด็กชายชาวโมร็อกโกใช้ขวดพลาสติกผูกเข้ากับตัวเพื่อเป็นชุดชูชีพอย่างง่ายสำหรับว่ายน้ำข้ามไปยังเมืองเซวตา ดินแดนในแอฟริกาเหนือของสเปน เห็นแล้วน่าเวทนาสงสาร และแทนที่ขึ้นฝั่งแล้วจะมีรอยยิ้ม เด็กชายกลับต้องร้องไห้น้ำตานองหน้า พยายามวิ่งหนีเจ้าหน้าที่สเปนที่ตามจับตัว สุดท้ายเขาก็ถูกหิ้วปีกส่งกลับโมร็อกโก “เซวตา” (Ceuta) นครปกครองตนเองของสเปน ประชากรประมาณ 85, 000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ราว 18.
com) ด้านฝรั่งเศสได้พื้นที่กว้างใหญ่กลางประเทศ เรียกว่า “โมร็อกโกในอารักขาของฝรั่งเศส” มี “ราบัต” เป็นเมืองหลวง ข้อตกลงในสนธิสัญญายังคงระบุให้องค์สุลต่านเป็นประมุขของประเทศ แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วแทบจะไม่มีอำนาจใดๆ เจ้าอาณานิคมมีสิทธิ์ขาดในการบริหารและปกครอง ชาวฝรั่งเศสเข้ามาทำมาหากินและตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลฝรั่งเศสสัญญาจะไม่ให้การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองของโมร็อกโกรบกวนการตั้งถิ่นฐานของพลเมืองฝรั่งเศสได้ การก่อกบฏและสงครามต่อต้านเกิดขึ้นบ้าง แต่ฝรั่งเศสเอาอยู่ทุกครั้ง รวมถึงสงครามเพื่อเอกราชของ “สาธารณรัฐริฟ” (ค.
1907 เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรม “เอมีล มูชอง” ยอดคุณหมอชาวฝรั่งเศสในเมืองมาราเกซ ฝรั่งเศสใช้จังหวะนี้รุกเมือง “อุจดา” ทางตะวันออกที่มีชายแดนติดกับแอลจีเรีย จากนั้นโจมตี “คาซาบลังกา” ทางฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ในเดือนมีนาคม 1912 โมร็อกโกก็กลายเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสตาม “สนธิสัญญาเมืองเฟส” และเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันฝรั่งเศสและสเปนก็ลงนามในอีกสนธิสัญญา ฝรั่งเศสแบ่งดินแดนที่เป็นแถบทางเหนือ ตรงข้ามกับแคว้นแอนดาลูเซียให้กับสเปน (ไม่รวมเมืองแทนเจียร์ที่ต่อมาคือเขตการค้าเสรีนานาชาติ) และอีกส่วนเล็กๆ ทางใต้ของโมร็อกโก เรียกว่า “เคปจูบี” (ก่อนนี้สเปนได้ซาฮาราตะวันตก ดินแดนทางใต้ของโมร็อกโกเป็นอาณานิคมแล้วตั้งแต่ปี 1884) ทำให้สเปนรู้สึกล้างอายได้บ้างหลังจากพ่ายแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกามาอย่างหมดรูปในปี 1898 สูญเสียคิวบา เปอร์โตริโก ฟิลิปปินส์และเกาะกวมให้กับสหรัฐ จนสเปนกลายเป็นแค่ชาติมหาอำนาจแถวสอง สำหรับ “โมร็อกโกในอารักขาของสเปน” มีเมืองหลวงชื่อ “เตตวน” ภาพจาก “สงครามริฟ” (ค. 1921-1926) ทหารโมร็อกโกทำสงครามต่อต้านสเปนและฝรั่งเศสอยู่ได้ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งทานไม่ไหวและประสบความพ่ายแพ้ (ภาพจาก britannica.
รัฐในอารักขาของสเปนในโมร็อกโก ประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ
5 ตารางกิโลเมตร แผนที่มีลักษณะเป็นแหลมชี้ออกมาจากแผ่นดินของโมร็อกโก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นแอนดาลูเซีย ราชอาณาจักรสเปน มีช่องแคบยิบรอลตาร์คั่นกลางระหว่างแอฟริกาและทวีปยุโรป การเข้าถึงเซวตาจึงคล้ายมาถึงยุโรป และอาจเป็นใบเบิกทางเข้าสู่แผ่นดินยุโรปเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีชาวโมร็อกโกที่ต้องการข้ามไปยังเซวตาจำนวนมากรอคอยจังหวะงามๆ อยู่บริเวณด่านชายแดนเมือง “ฟนิเด็ค” ขวามือของแผนที่คือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เจ้าหน้าที่ด่านได้ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายกลุ่มผู้ต้องการอพยพให้ออกห่างจากรั้วพรมแดน ทำให้พวกเขาโมโห จุดไฟเผาจักรยานยนต์และถังขยะ ช่วงกลางสัปดาห์ ผู้อพยพเปลี่ยนแผนที่จะข้ามฝั่งทางบกเป็นลงทะเล นั่งเรือยางขนาดเล็ก หรือใช้อุปกรณ์ชูชีพอย่างง่ายว่ายน้ำอ้อมไปไม่กี่ร้อยเมตรสู่ชายหาด “ทาราจาล” ของเซวตา โดยเจ้าหน้าที่โมร็อกโกได้แต่ยืนมอง สเปนต้องส่งตำรวจหน่วยพิเศษจากฝั่งยุโรปมาเพิ่มอีก 200 นาย สมทบกับที่มีอยู่แล้วประมาณ 1, 200 นาย เพื่อรับมือคลื่นผู้อพยพ ในเวลา 2 วัน ชาวโมร็อกโกประมาณ 8, 000 คนข้ามไปถึงเซวตา ถือเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนมากเป็นผู้ชาย ที่ไปกันเป็นครอบครัวก็มี รวมถึงเด็กที่ไม่มีผู้ปกครอง ราว 2 ใน 3 ของทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวแล้วพาไปส่งที่ด่านชายแดนกลับเข้าโมร็อกโก ที่เหลือเป็นเด็กจำนวนประมาณ 1, 500 คน ไม่มีพ่อแม่มาด้วย บางคนอายุเพียง 7 ขวบ ถูกคุมตัวอยู่ในโกดังแห่งหนึ่ง ได้รับการดูแลโดยกาชาดท้องถิ่น รอการส่งกลับเช่นกัน มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน ผู้แสวงหาชีวิตที่ดีกว่าบางคนมาจากหลายเมืองทั่วโมร็อกโก แม้แต่เมืองท่าสำคัญอย่างแทนเจียร์ ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่หมดหวัง ผมมีเพื่อนในเซวตา หากเข้าไปได้ใหม่ก็จะไปอยู่กับเพื่อน แล้วค่อยหาทางข้ามไปยังฝั่งยุโรป” อีกคนให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นว่า “ผมแค่ต้องการทำงานและช่ปวยครอบครัว เพื่อนของผมทั้งหมด เราต้องการทำงาน” เด็กชายร่ำให้เพราะรู้ชะตากรรมว่าต้องถูกจับและส่งตัวกลับโมร็อกโก (ภาพจาก sproutwired.
1803-1815) ออตโตมันถึงยุคขาลง ค่อยๆ เสื่อมอิทธิพลไปจากภูมิภาค “มาเกร็บ” หรือแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ฝรั่งเศสข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาตีแอลจีเรียและยึดครองได้สำเร็จในปี 1830 แล้วบุกโมร็อกโกต่อในปี 1844 ผลจบลงด้วยชัยชนะของฝรั่งเศส ทั้ง 2 ฝ่ายลงนามในสนธิสัญญาแทนเจียร์ มีผลให้โมร็อกโกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าแอลจีเรียคือส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ปี 1856 สุลต่านอัล-รามันของโมร็อกโกลงนามในสนธิสัญญากับอังกฤษ มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับอังกฤษหลายอย่าง และเปิดการค้าเสรีกับนานาชาติ ช่วยให้โมร็อกโกยังเป็นชาติเอกราชอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สเปนบุกโมร็อกโกในปี 1859 โมร็อกโกเป็นฝ่ายปราชัย ต้องกู้เงินจากอังกฤษเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับสเปน มูลค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติของชาติที่มีอยู่ในเวลานั้น นอกจากนี้สเปนยังได้ดินแดนบางส่วนของโมร็อกโกด้วย รวมถึง “เซวตา” และ “เมลิยา” ที่ยังคงเป็นของสเปนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ฝรั่งเศสและสเปนมีอิทธิพลในโมร็อกโกมากขึ้นๆ ขณะที่อังกฤษถอยออกไป ปี ค.
1921-1926) ซึ่งกองทัพฝรั่งเศสและสเปนร่วมกันปราบได้ในที่สุด แม้ว่าสเปนจะสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ความสนใจหลักของฝรั่งเศสคือแหล่งแร่ธรรมชาติในโมร็อกโก โดยเฉพาะแร่ฟอสเฟต อีกทั้งยังมุ่งเน้นในด้านเกษตรกรรมเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดฝรั่งเศส การมอบสิทธิ์ในที่ดินดึงดูดให้ชาวอาณานิคมราวครึ่งล้านย้ายเข้ามา โดยส่วนใหญ่อาศัยในเมืองคาซาบลังกา และกลายเป็นประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมือง ด้านสเปนก็โชคดีค้นพบแหล่งแร่ธรรมชาติปริมาณมาก โดยเฉพาะแร่เหล็กใกล้เมืองเมลียา ปี 1936 สงครามกลางเมืองของสเปน (ค. 1936-1939) มีจุดเริ่มจากการก่อกบฏของ “กองทัพสเปนแห่งแอฟริกา” มีองค์ประกอบของทหารท้องถิ่นชาวโมร็อกโกที่เรียกว่า “เรกูลาเรส” ภายใต้การนำของ “ฟรานซิสโก ฟรังโก” เป็นส่วนสำคัญ และต่อมากลายเป็นแกนหลักของ “กองทัพคณะรักชาติ” ทำการปฏิวัติสู้รบกับรัฐบาล “สาธารณรัฐสเปนที่ 2” จนยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชของโมร็อกโกก่อตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงปลายสงครามพรรคเอกราชได้ออกประกาศเรียกร้องเอกราช การรวมชาติ และรัฐธรรมนูญต่อเจ้าอาณานิคม สุลต่าน “โมฮัมเหม็ดที่ 5” ก็ทรงรับรองคำประกาศ ทั้งยังได้ยื่นให้กับข้าหลวงใหญ่ของฝรั่งเศส แต่คำตอบจากฝรั่งเศสคือจะไม่มีการพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะของรัฐในอารักขา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์สุลต่านทรงเดินสายกล่าวสุนทรพจน์ในหลายเมือง ทั้งในโมร็อกโกฝรั่งเศส โมร็อกโกสเปน และแทนเจียร์ ซึ่งเป็นเขตนานาชาติ ได้รับการสนับสนุนจากชาวโมร็อกโกทุกหัวระแหง แต่ฝ่ายฝรั่งเศสทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและชาวอาณานิคมต่างไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้อง เดือนธันวาคม ปี 1952 “ฟาร์ฮัต ฮาเช็ด” ผู้นำสหภาพแรงงานและนักต่อสู้เพื่อเอกราชของตูนิเซียถูกลอบสังหาร (ในตูนิเซีย) ชาวโมร็อกโกที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคเอกราชของโมร็อกโกทราบข่าวก็ได้ก่อจลาจลขึ้นในเมืองคาซาบลังกา หลังเหตุการณ์สงบลงฝรั่งเศสมีคำสั่งให้พรรคการเมืองทั้งสองเป็นพรรคนอกกฎหมาย จากนั้นฝรั่งเศสยังได้เนรเทศองค์สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ไปยังเกาะมาดากัสการ์ในวันอีด ปี 1953 และตั้งพระนัดดาขึ้นมาแทน ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากชาวโมร็อกโก คริสต์มาสปีเดียวกันนั้นฝ่ายโมร็อกโกรักชาติวางระเบิดตลาดกลางคาซาบลังกา ในเขตเมืองใหม่ของชาวยุโรป อีก 2 ปีต่อมา เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝรั่งเศสเผชิญสถานการณ์การสู้รบในสงครามเพื่อเอกราชของแอลจีเรีย รัฐบาลฝรั่งเศสก็อนุญาตให้สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 เดินทางกลับโมร็อกโก การเริ่มต้นพูดคุยเจรจาเพื่อเอกราชของโมร็อกโกเริ่มต้นในปีต่อมา วันที่ 7 เมษายน 1956 ฝรั่งเศสประกาศยกเลิกความเป็นรัฐในอารักขาของโมร็อกโก ด้านสเปนเจรจากับโมร็อกโกต่างหาก ก่อนจะให้การรับรองเอกราชของโมร็อกโกในเดือนเดียวกัน (เหลือเซวตาและเมลียาไว้) จากนั้นแทนเจียร์ถูกผนวกกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโกในเดือนตุลาคม 1956 องค์สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 กลับขึ้นครองราชย์ในปีต่อมา ********************** ยุโรป ดินแดนห้ามบุกรุก ซาฮาราตะวันตก ดินแดนติดมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ทางใต้ของโมร็อกโก ทางเหนือของมอริเตเนีย และทางตะวันตกของแอลจีเรีย หลังสเปนถอยออกจากโมร็อกโก ซาฮาราตะวันตกก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนต่อมาจนถึงปี 1975 แล้วจึงถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรโมร็อกโก ปัจจุบันโมร็อกโกยังมีข้อพิพาทกับชาวซาห์ราวี ชนพื้นเมืองที่ต้องการเอกราช มีแนวร่วมโปลีซารีโอเคลื่อนไหวเรียกร้องและจับอาวุธขึ้นต่อสู้เรื่อยมา ว่ากันว่าได้รับการหนุนหลังจากแอลจีเรีย “บราฮิม กาลี” ผู้นำของแนวร่วมโปลีซารีโอ ตั้งตนเป็นประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี ถูกกล่าวหาจากกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและชาวซาฮาราตะวันตกจำนวนหนึ่งว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆาตกรรม ก่อการร้าย ทรมานและอุ้มหาย ไม่นานมานี้ กาลีใช้หนังสือเดินทางปลอมของแอลจีเรียเดินทางเข้าสเปน และมีข่าวว่ากำลังได้เข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 อยู่ในโรงพยาบาลที่เมือง “โลโกรโย” ทางเหนือของสเปน เป็นสาเหตุให้รัฐบาลโมร็อกโกแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อผู้อพยพต้ปองการข้ามแดนไปยังเซวตา “มาเรีย อารันซาซู กอนซาเลส ลายา” รัฐมนตรีต่างประเทศของสเปน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง สหภาพยุโรปก็ให้การสนับสนุนมาตรการการจัดการกับผู้อพยพของสเปนเป็นอย่างดี “ชาร์ลส์ มีแชล” ประธานคณะมนตรียุโรปทวีตข้อความว่า “พรมแดนสเปนก็คือพรมแดนของสหภาพยุโรป” “มาร์การิติส สคินาส” รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า “ยุโรปจะต้องไม่ถูกคุกคามจากใครในเรื่องการอพยพ” “ฆวน เฆซุส วิวาส” สมาชิกพรรคฝ่ายค้านของสเปนก็ประสานเสียง บอกกับสถานีวิทยุท้องถิ่นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการล่วงล้ำรุกรานอย่างชัดเจน.
ชีวิตใหม่ไม่สมหวังบนฝั่งสเปนผู้อพยพชาวโมร็อกโกโดนควบคุมตัวเมื่อขึ้นฝั่งเมืองเซวตา ดินแดนในแอฟริกาเหนือของสเปน (ภาพจาก infomigrants. net) ภาพเด็กชายชาวโมร็อกโกใช้ขวดพลาสติกผูกเข้ากับตัวเพื่อเป็นชุดชูชีพอย่างง่ายสำหรับว่ายน้ำข้ามไปยังเมืองเซวตา ดินแดนในแอฟริกาเหนือของสเปน เห็นแล้วน่าเวทนาสงสาร และแทนที่ขึ้นฝั่งแล้วจะมีรอยยิ้ม เด็กชายกลับต้องร้องไห้น้ำตานองหน้า พยายามวิ่งหนีเจ้าหน้าที่สเปนที่ตามจับตัว สุดท้ายเขาก็ถูกหิ้วปีกส่งกลับโมร็อกโก “เซวตา” (Ceuta) นครปกครองตนเองของสเปน ประชากรประมาณ 85, 000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ราว 18.
1907 เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรม “เอมีล มูชอง” ยอดคุณหมอชาวฝรั่งเศสในเมืองมาราเกซ ฝรั่งเศสใช้จังหวะนี้รุกเมือง “อุจดา” ทางตะวันออกที่มีชายแดนติดกับแอลจีเรีย จากนั้นโจมตี “คาซาบลังกา” ทางฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ในเดือนมีนาคม 1912 โมร็อกโกก็กลายเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสตาม “สนธิสัญญาเมืองเฟส” และเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันฝรั่งเศสและสเปนก็ลงนามในอีกสนธิสัญญา ฝรั่งเศสแบ่งดินแดนที่เป็นแถบทางเหนือ ตรงข้ามกับแคว้นแอนดาลูเซียให้กับสเปน (ไม่รวมเมืองแทนเจียร์ที่ต่อมาคือเขตการค้าเสรีนานาชาติ) และอีกส่วนเล็กๆ ทางใต้ของโมร็อกโก เรียกว่า “เคปจูบี” (ก่อนนี้สเปนได้ซาฮาราตะวันตก ดินแดนทางใต้ของโมร็อกโกเป็นอาณานิคมแล้วตั้งแต่ปี 1884) ทำให้สเปนรู้สึกล้างอายได้บ้างหลังจากพ่ายแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกามาอย่างหมดรูปในปี 1898 สูญเสียคิวบา เปอร์โตริโก ฟิลิปปินส์และเกาะกวมให้กับสหรัฐ จนสเปนกลายเป็นแค่ชาติมหาอำนาจแถวสอง สำหรับ “โมร็อกโกในอารักขาของสเปน” มีเมืองหลวงชื่อ “เตตวน” ภาพจาก “สงครามริฟ” (ค.
แคนาดา โมร็อกโก-【สเปน vs คอสตาริก้า】
com) *********************** โมร็อกโกของสเปนและฝรั่งเศส ในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันเรืองอำนาจสูงสุด พวกเขาขยายการยึดครองมาถึงแอลจีเรี ยซึ่งประชิดติดกับชายแดนโมร็อกโก แต่โมร็อกโกอยู่รอดปลอดภัยมาได้โดยการปกครองของราชวงศ์อาหรับ-เบอร์เบอร์ของพวกเขาเอง หมดยุคค้าทาสแอฟริกันมาถึงยุคล่าอาณานิคมของชาติยุโรป โมร็อกโกได้รับความสนใจจากทั้งโปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ส่วนมากจะยึดเอาแค่เมืองท่าสำคัญๆ ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปภายใน เวลานั้นโมร็อกโกยังถือเป็นชาติที่ร่ำรวย หลังสงครามนโปเลียน (ค. ศ. 1803-1815) ออตโตมันถึงยุคขาลง ค่อยๆ เสื่อมอิทธิพลไปจากภูมิภาค “มาเกร็บ” หรือแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ฝรั่งเศสข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาตีแอลจีเรียและยึดครองได้สำเร็จในปี 1830 แล้วบุกโมร็อกโกต่อในปี 1844 ผลจบลงด้วยชัยชนะของฝรั่งเศส ทั้ง 2 ฝ่ายลงนามในสนธิสัญญาแทนเจียร์ มีผลให้โมร็อกโกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าแอลจีเรียคือส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ปี 1856 สุลต่านอัล-รามันของโมร็อกโกลงนามในสนธิสัญญากับอังกฤษ มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับอังกฤษหลายอย่าง และเปิดการค้าเสรีกับนานาชาติ ช่วยให้โมร็อกโกยังเป็นชาติเอกราชอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สเปนบุกโมร็อกโกในปี 1859 โมร็อกโกเป็นฝ่ายปราชัย ต้องกู้เงินจากอังกฤษเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับสเปน มูลค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติของชาติที่มีอยู่ในเวลานั้น นอกจากนี้สเปนยังได้ดินแดนบางส่วนของโมร็อกโกด้วย รวมถึง “เซวตา” และ “เมลิยา” ที่ยังคงเป็นของสเปนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ฝรั่งเศสและสเปนมีอิทธิพลในโมร็อกโกมากขึ้นๆ ขณะที่อังกฤษถอยออกไป ปี ค.
โมร็อกโก vs โครเอเชีย-【ทีมชาติสเปน - ก ส จ.
โมร็อกโก VS สเปน : พรีวิว ฟุตบอลโลก 2022 (ช่องถ่ายทอดสด)